ข้อมูลทั่วไปของประเทศสหรัฐอเมริกา
เมืองหลวง
: วอชิงตัน ดีซี
เมืองใหญ่สุด
: นิวยอร์กซิตี้
ภาษาราชการ
: ภาษาอังกฤษ
การปกครอง
: สหพันธรัฐประชาธิปไตยแบบตัวแทน
· ประธานาธิบดี : จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช
· รองประธานาธิบดี : ดิก เชนีย์
· ว่าที่ประธานาธิบดี : บารัค โอบามา
เนื้อที่ทั้งหมด
: 9,631,418 กม.
พื้นน้ำ
: 4.87 %
ประชากร
: 301,747,000 (อันดับที่3
(2550))
สกุลเงิน
: ดอลล่าร์สหรัฐ (USD)
ประเทศ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล
โดยมีพื้นที่ถึง 9.9 ล้านตารางกิโลเมตร (เทียบเท่ากับ 18
เท่า ของพื้นที่ประเทศไทย) ส่วนกว้างของประเทศจากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางด้านตะวันตก
ไปจนจรดมหาสมุทรแอตแลนติกทางตะวันออก มีความกว้างถึง 4,500 กิโลเมตร
ซึ่งต้องใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมง
ทิศเหนือมีอาณาเขตติดกับประเทศแคนาดา ทิศใต้ติดกับประเทศเม็กซิโกและอ่าวเม็กซิโก
ประชากร
ประชากร ดั้งเดิมของสหรัฐอเมริกาคือ
ชาวอินเดียนแดงหลายเผ่า แต่ประชากรปัจจุบันสืบเชื้อสายมาจากชนชาติต่างๆ ทั่วโลก ชนกลุ่มแรกที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานคือ
ชาวอังกฤษและชาวเนเธอร์แลนด์ ต่อมามีการนำชนผิวดำจากประเทศแอฟริกาเข้ามาเป็นทาส
ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ชาวเอเชียได้อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานมากขึ้น
โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น โดยเข้าไปอยู่ในรัฐฮาวายมากที่สุด
รัฐที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดคือ รัฐแคลิฟอร์เนีย รองลงมาคือ รัฐนิวยอร์ค ปัจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรราว
280 ล้านคน
สภาพภูมิอากาศ
สหรัฐอเมริกามีสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างหลากหลายและแตกต่างกันไปแต่ละ เขต เนื่องจากภูมิประเทศที่กว้างใหญ่ โดยทั่วไปแล้วประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีสภาพอากาศค่อนข้างเย็นกว่าประเทศไทย เนื่องจากสหรัฐอเมริกาตั้งอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร ทางแถบตะวันออกของประเทศอากาศในช่วงฤดูหนาว และฤดูร้อนจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน ส่วนทางด้านชายฝั่งตะวันตกค่อนข้างจะมีฝนตกบ่อย มีหิมะตกพอสมควร ปริมาณแสงแดดก็มีไม่มากนัก ทางตอนกลางของประเทศมีหิมะตกพอสมควรถึงหนักมาก แสงแดดค่อนข้างมาก
ฤดูกาล
สหรัฐอเมริกามี 4 ฤดูกาล คือ
- ฤ ดูร้อน (Summer) มิถุนายน-สิงหาคม
- ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) กันยายน-พฤศจิกายน
- ฤ ดูหนาว (Winter) ธันวาคม-กุมภาพันธ์
- ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) มีนาคม-พฤษภาคม
ลักษณะอากาศของแต่ละเขตแตกต่างกันไป เช่นในฤดูร้อนอากาศด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้
บริเวณทะเลทรายอุณหภูมิ เกือบเท้าแถบ เส้นศูนย์สูตร ส่วนฤดูหนาวในเขตทางตอนเหนือ
ก็จะหนาวจัดจนหิมะ ตกหลายเดือน แถบที่อากาศอบอุ่นสบายไม่มีหิมะคือที่รัฐแคลิฟอร์เนีย
ฟลอริดา และอริโซน่า ส่วนในช่วงฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยน สีสันสวยงามมาก อากาศหนาว
เว้นแต่ในมลรัฐฮาวาย และมลรัฐฟลอริดา หนาวเย็นมากที่บริเวณขั้วโลกเหนือในมลรัฐอะแลสกา
บริเวณที่ราบด้านตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี (Mississippi) จะค่อนข้างแห้งแล้ง และมีความแห้งแล้งมากบริเวณที่ลุ่มภาคตะวันตกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือมีอุณหภูมิต่ำในช่วงฤดูหนาว
ซึ่งจะมีอากาศดีขึ้นเป็นครั้งคราวในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ โดยจะได้รับความอบอุ่นจากลมของเนินเขาด้านตะวันออกของเทือกเขาร๊อกกี้
หมายเหตุ : ในฤดูใบไม้ร่างจะมีการหมุนเข็มนาฬิกา ให้เวลาเดินหน้าเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง โดยจะหมุนในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม และในฤดูใบไม้ผลิ จะหมุนเข็มนาฬิกาให้เวลาถอยหลัง 1 ชั่วโมง โดยจะหมุนในวันอาทิตย์แรก ของเดือนเมษายน
หมายเหตุ : ในฤดูใบไม้ร่างจะมีการหมุนเข็มนาฬิกา ให้เวลาเดินหน้าเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง โดยจะหมุนในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม และในฤดูใบไม้ผลิ จะหมุนเข็มนาฬิกาให้เวลาถอยหลัง 1 ชั่วโมง โดยจะหมุนในวันอาทิตย์แรก ของเดือนเมษายน
ศาสนา
ด้วย ความเชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันของประชากร และด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมของผู้อพยพ
ชาวอเมริกันทุกคนจึงมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาใดก็ได้ ตามความเชื่อมั่นของแต่ละบุคคล
หรือไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ได้ ทุกรัฐมีเสรีภาพในการนับถือศาสนาเท่าเทียมกัน
ศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ มีประชากรนับถือมากที่สุด
เวลา
ด้วย ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างมาก จึงมีการแบ่งความแตกต่างของเวลาตามเส้นแบ่งของโลกเป็น
4 เขตเวลา (Time Zone) คือ
- Eastern Time Zone (EST) จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ
12 ชั่วโมง
- Central Time Zone (CST) จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ
13 ชั่วโมง
- Mountain Time Zone (MST) จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ
14 ชั่วโมง
- Pacific Time Zone (PST) จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ
15 ชั่วโมง
ใน แต่ละ Time
Zone จะมีเวลาแตกต่างกัน 1 ชั่วโมง
ตัวอย่างเช่น เวลาใน Eastern Zone เป็นเวลาบ่าย 4 โมงเย็น เวลาในเขต Central Zone จะเป็นบ่าย 3
โมงเย็น ในเขต Mountain Zone เป็นเวลาบ่าย 2
โมง และเวลาในเขต Pacific Zone จะเป็นเวลาบ่ายโมงตรง
เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจ ของสหรัฐอเมริกาเป็นระบบเศรษฐกิจเสรี ชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะมีฐานะใกล้เคียงกัน
มีเป็นจำนวนน้อยที่จะร่ำรวยมหาศาล หรือยากจนมากมาย สหรัฐเป็นประเทศที่มีความเจริญและเป็นผู้นำในธุรกิจหลายประเภท
และทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์
เครื่องบิน คอมพิวเตอร์ รวมถึงการท่องเที่ยวและบันเทิง ความมั่งคั่งส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมอุตสาหกรรม
และธุรกิจเอกชน
ประวัติศาสตร์อเมริกา
ก่อนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา (รวมถึงอาณานิคมก่อนหน้านั้น) จะถูกก่อตั้งขึ้น
พื้นที่ทั้งหมดของสหรัฐฯในปัจจุบันเดิมเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับชนพื้นเมือง ชาวอเมริกันมาก่อนเป็นเวลาถึง
15,000 ปี จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ได้มีการสำรวจบุกเบิกและตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปเริ่มต้นขึ้น ราชอาณาจักรอังกฤษได้ทำการก่อตั้งอาณานิคมใหม่
และเข้าควบคุมอาณานิคมที่ก่อตั้งมาก่อนอื่นๆ จนกระทั่งในที่สุด หลังจากที่ถูกรัฐบาลตัวแทนจากเกาะบริเตนปกครองมาเป็นเวลาร้อยกว่าปี
อาณานิคมที่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษจำนวน 13 อาณานิคมได้ทำการประกาศอิสรภาพในวันที่
4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 (พ.ศ. 2319)
ทำให้เกิดสงครามปฏิวัติอเมริกาขึ้น และแล้วสงครามก็สิ้นสุดลงใน ค.ศ.
1783 (พ.ศ. 2326) โดยชัยชนะเป็นของอดีตอาณานิคม
เมื่อราชอาณาจักรอังกฤษยอมรับอดีตอาณานิคมที่อังกฤษเคยปกครองมาก่อนให้เป็น ประเทศใหม่
ตั้งแต่นั้นมาประเทศก่อตั้งใหม่ที่ถูกเรียกว่า "สหรัฐอเมริกา" ก็แผ่ขยายอาณาเขตของตนเองจาก
13 รัฐไปถึง 50 รัฐกับอีกหนึ่งเขตปกครองกลาง
รวมถึงดินแดนภายใต้การปกครองอีกหลายแห่งอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้สหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึงกว่า
4 เท่าตัว และด้วยเนื้อที่กว่า 9.1 ล้านตารางกิโลเมตรของสหรัฐอเมริกา
ทำให้สหรัฐฯกลายเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก (แต่ในบางแหล่งข้อมูลที่ทำการจัดอันดับ
สาธารณรัฐประชาชนจีนจะอยู่ในอันดับสาม ส่วนสหรัฐจะตกไปอยู่อันดับสี่ ถ้าทำการนับจีนไทเปรวมเข้าไปด้วย)
อีกทั้งสหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับสาม
ด้วยจำนวนประชากรถึงเกือบ 300 ล้านคน
รัฐของสหรัฐอเมริกา 48 รัฐ
(ซึ่งมักจะถูกเรียกว่าแผ่นดินใหญ่) ตั้งอยู่บนดินแดนระหว่างแคนาดาและเม็กซิโก
ส่วนอะแลสกาและฮาวายนั้น ไม่ได้อยู่ติดกับรัฐอื่น นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังมีดิสตริกต์ออฟโคลัมเบียซึ่งเป็นเขตปกครองกลางประจำ
สมาพันธรัฐเป็นเมืองหลวง รวมถึงดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกาอยู่ทั่วโลก
รัฐทั้ง 50 รัฐของสหรัฐอเมริกานั้นมีสิทธิในการปกครองตนเองในระดับสูงภายใต้ระบบสหพันธรัฐ
สหรัฐอเมริกาได้ธำรงค์การปกครองระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเสรี มาตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาในวันที่
17 กันยายน ค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330)
ตั้งแต่นั้นมา สถานะการเมืองของสหรัฐอเมริกายังคงมั่นคงมาจวบจนถึงทุกวันนี้
โดยสถานะทางเศรษฐกิจและทางทหารของสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นอย่างคงที่ตลอดช่วงกลางถึงช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่
20 ผ่านทั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง โดยทั้งสองครั้งอยู่ในฝ่ายผู้ชนะ
จากนั้นมาสหรัฐฯ ก็เป็นประเทศอภิมหาอำนาจคู่กับสหภาพโซเวียต
และทำสงครามแนวใหม่ที่เรียกว่า "สงครามเย็น"
ต่อกัน จนกระทั่งในคริสตทศวรรษที่ 90 (พ.ศ. 2533-2534)
เมื่อสหภาพโซเวียตได้ล่มสลายลง ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศ
"อภิมหาอำนาจ" หนึ่งเดียว มาจนถึงทุกวันนี้
ชื่อเรียก
สหรัฐอเมริกา นอกจากจะรู้จักในชื่อเต็มแล้ว ชาวอเมริกันเองรวมถึงผู้ที่มาจากประเทศอื่น
ๆ ยังเรียกสหรัฐอเมริกาในหลายรูปแบบ ได้แก่ สหรัฐฯ (United
States), ยูเอส (U.S.), ยูเอสเอ (USA),
เดอะสเตตส์ (the States) และอเมริกา (America)
สำหรับคนไทยแล้ว นิยมเรียกสหรัฐอเมริกาสั้น ๆ ว่าสหรัฐฯ, อเมริกา จนไปถึงรูปแบบที่สั้นมาก ๆ คือ "มะกัน" และเรียกสหรัฐอเมริกาในเชิงฉายาว่าเป็น
"ลุงแซม" รวมถึงเรียกสหรัฐอเมริกาที่เป็นมหาอำนาจที่มีอำนาจทางการเงิน และการทหารยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบันในทางเสียดสีว่าเป็น
"เจ้าโลก" หรือ "จ้าวโลก" อีกด้วย
ส่วนชื่อประเทศอย่างเป็นทางการนั้น ในหนังสือภาษาไทยยุคก่อน พ.ศ. 2500 เรียกชื่อของสหรัฐอเมริกาว่า "สหปาลีรัฐอเมริกา"
นอกจากนี้ในหนังสือสนธิสัญญาระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ. 2375 สมัยรัชกาลที่ 3 ได้เรียกชื่อของสหรัฐอเมริกาว่า
"เอสตาโด อุนิโด ดา อเมริกา"
เข้าใจว่าเป็นการถอดชื่อของสหรัฐอเมริกาในภาษาโปรตุเกส ซึ่งเขียนว่า "Estados
Unidos da América" เนื่องจากภาษาตะวันตกที่ราชการไทยในเวลานั้นรู้จักดีคือภาษาโปรตุเกส
ดังปรากฏหลักฐานชัดเจนในสนธิสัญญาฉบับนั้นด้วยว่าเนื้อหาในสนธิสัญญาเขียน เป็น 4
ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และภาษาโปรตุเกส
ลุงแซม (Uncle Sam) เป็นชื่อที่เรียกเริ่มต้นในสงครามกลางเมืองในช่วง
พ.ศ. 2355 เกิดขึ้นจากที่ผลิตภัณฑ์เนื้อที่ส่งเข้าค่ายทหารอเมริกัน
ประทับตราว่า U.S. ซึ่งเป็นชื่อย่อของ ลุงแซมูเอล วิลสัน (Uncle
Samuel) ซึ่งเป็นชื่อล้อเลียนกับชื่อ U.S. ของ
United States
ลุงแซม
ภูมิศาสตร์อเมริกา
ภูมิประเทศและที่ตั้ง
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล มีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ
9,629,091 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ
โดยมีมลรัฐ Alaska อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคนาดา และ มีมลรัฐฮาวายอยู่ทางตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศเหนือมีอาณาเขตติดกับ
ประเทศแคนาดา ทิศใต้ติดกับประเทศเม็กซิโกและอ่าวเม็กซิโก ทิศตะวันออกติดกับชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค
และทิศตะวันตกติดกับชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิค สหรัฐอเมริกาประกอบด้วยรัฐต่างๆ
50 รัฐ และ 1 เขตการปกครอง
โดยรัฐเหล่านี้จะมีอาณาเขตติดต่อถึงกันทั้งหมด 48 รัฐ
มีเพียง 2 รัฐเท่านั้นที่ไม่มีอาณาเขตติดต่อกัน คือ รัฐ Alaska
ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศแคนาดา และรัฐ Hawaii ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิค เนื่องจากประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่มีความกว้างใหญ่
จึงมีการแบ่งรัฐต่างๆ ออกเป็นเขต 7 เขตดังนี้
- Northwest
States ครอบคลุมรัฐ Washington, Oregon, Idaho
- Southwest
States ครอบคลุมรัฐ California, Nevada, Utah, Arizona
- North
Central States ครอบคลุมรัฐ Montana, Wyoming,
Colorado, North Dakota, South Dakota, Nebraska, Kansas, Minnesota, Lowa,
Missouri
- South
Central States ครอบคลุมรัฐ New Mexico, Oklahoma,
Arkansas, Texas, Louisiana
- Midwest
States ครอบคลุมรัฐ Wisconsin, Illinois, Michigan,
Indiana, Ohio, Kentucky
- Northeast
States ครอบคลุมรัฐ New Hampshire, Vermont, New York,
Pennsylvania, West Virginia, Virginia, Maine, Massachusetts, Rhode Island,
Connecticut, New Jersey, Delaware, Maryland, District of Columbia
- Southeast
States ครอบคลุมรัฐ Tennessee, North Carolina, South
Carolina, Mississippi, Alabama, Georgia, Florida
ทรัพยากรธรรมชาติ
ถ่านหิน, ทองแดง, เกลือ, ยูเรเนี่ยม,
ทองคำ, เหล็ก, ปรอท,
นิเกิล, โปแตส, เงิน,
วุลแฟรม, ทังสแตน, สังกะสี,
ปิโตรเลี่ยม, ก๊าซธรรมชาติและป่าไม้ เป็นต้น
วัฒนธรรมอเมริกา
สังคมและวัฒนธรรม
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีประชากรจากหลากหลายภูมิภาคของโลกมาอาศัย
อยู่ร่วมกันทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมและวิถีการดำเนินชีวิต ที่หลากหลาย
ชาวอเมริกันเป็นคนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นซึ่งแตกต่างจากของตนเอง
มีความเป็น เอกเทศ ซื่อสัตย์ เปิดเผย และตรงไปตรงมา ยึดถือในเรื่องของความเท่าเทียมกัน
ให้ความสำคัญกับการประสบความสำเร็จ จากการที่มีภูมิประเทศที่กว้างใหญ่ทำให้ในแต่ละรัฐ
แต่ละเขตมีขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันไป ด้านสำเนียงภาษาอังกฤษก็จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น
อาหาร
แฮมเบอร์เกอร์ อาหารประจำชาติสหรัฐอเมริกาเนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้อพยพ
เข้ามาอยู่ตลอดเวลา อาหารในประเทศจึงมีความหลากหลาย โดยอาหารพื้นเมืองในสหรัฐอเมริกา
หรืออาหารชาวอินเดียนแดง คืออาหารที่มีส่วนประกอบของ ไก่งวง มันสำปะหลัง ข้าวโพด และฟักทอง
โดยในปัจจุบันจากการอพยพจากประชากรจากฝั่งยุโรปเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในส่วนของอาหารอเมริกัน
ซึ่งได้แก่อาหารหลายประเภท เช่น พายแอปเปิล พิซซา ชาวเดอร์ พาสตา แฮมเบอร์เกอร์
ฮอตด็อก แซนด์วิช และนอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่อพยพมาจากทางประเทศเม็กซิโก
ซึ่งอาหารประเภท เบอร์ริโต และ ทาโก ได้เป็นอาหารหลักในสหรัฐอเมริกา
ดนตรี
ดนตรีในสหรัฐอเมริกา เกิดจากการผสมผสานของดนตรีหลายเชื้อชาติเข้าด้วยกัน
และเกิดเป็นดนตรีแนวใหม่รายประเภท เช่น ร็อคแอนด์โรลล์ ฮิปฮอป คันทรี บลูส์ และแจ๊ส
และในช่วงล่าสุด ดนตรีของสหรัฐอเมริกาได้เริ่มเป็นที่นิยมในหลายที่ทั่วโลก นอกจากนี้การเต้นรำ
ได้มีกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกันเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การเต้นแท็ป
กีฬา
อเมริกันฟุตบอล เป็นกีฬาที่นิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาในสหรัฐอเมริกา
กีฬาเป็นการละเล่นที่นิยมเล่นกันมากตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงมหาวิทยาลัย และระดับอาชีพ
และเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศ กีฬาที่นิยมมากที่สุดในสหรัฐทั้ง 4 อย่างคือ อเมริกันฟุตบอล บาสเกตบอล เบสบอล และ ไอซ์ฮอกกี กีฬาอื่นที่นิยมลองลงมาได้แก่
การแข่งรถ (นาสคาร์) ลาครอสส์ และ ฟุตบอลที่เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่เด็กชาวอเมริกัน
ถึงแม้ว่าฟุตบอลจะมีการแข่งขันอาชีพในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ แต่ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าการแข่งขันอื่นเช่นใน
เอ็นเอฟแอลของอเมริกันฟุตบอล เอ็นบีเอของบาสเกตบอล หรือ เมเจอร์ลีกเบสบอล นอกจากนี้กีฬาที่ได้รับความนิยมในหมู่บุคคลเฉพาะเช่น
สเก็ตบอร์ด สกี สโนว์บอร์ด และ เซิร์ฟบอร์ด เริ่มเป็นที่แพร่หลายเช่นกัน นอกจากนี้ในระดับนานาชาติ
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จสูงในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
ภูมิอากาศ
ลักษณะอากาศของแต่ละเขตแตกต่างกันไป เช่นในฤดูร้อน อากาศด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้
บริเวณทะเลทรายอุณหภูมิ เกือบเท้าแถบ เส้นศูนย์สูตร ส่วนฤดูหนาวในเขตทางตอนเหนือ ก็จะหนาวจัดจนหิมะ
ตกหลายเดือน แถบที่อากาศอบอุ่นสบายไม่มีหิมะคือที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา
และอริโซน่า ส่วนในช่วงฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยน สีสันสวยงามมาก
เวลา
ด้วยประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มี พื้นที่กว้างมาก
จึงมีการแบ่งความ แตกต่างของเวลาตามเส้นแบ่งของโลก เป็น 4 เขตเวลา (Time Zone) คือ
- Eastern Time Zone (EST) จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ 12 ชั่วโมง
- Central Time Zone (CST) จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ 13 ชั่วโมง
- Mountain Time Zone (MST) จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ 14 ชั่วโมง
- Pacific Time zone (PST) จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ 15 ชั่วโมง
ไฟฟ้า
ระบบไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาเป็นระบบ 115 V, 600
Cycles ซึ่งแตกต่างจาก ประเทศไทย ไม่แนะนำให้นักศึกษานำเครื่องไฟฟ้าจากประเทศไทยติดตัวไป
เขตการปกครอง
สหรัฐอเมริกาปัจจุบันประกอบด้วย
รัฐ 50 รัฐ ดังต่อไปนี้
รายชื่อรัฐในสหรัฐอเมริกา
คอนเนตทิคัต · เคนทักกี · แคนซัส · แคลิฟอร์เนีย · โคโลราโด · จอร์เจีย · เซาท์แคโรไลนา · เซาท์ดาโคตา · เดลาแวร์ · เทกซัส · เทนเนสซี · นอร์ทแคโรไลนา · นอร์ทดาโคตา · นิวเจอร์ซีย์ · นิวเม็กซิโก · นิวยอร์ก · นิวแฮมป์เชียร์ · เนแบรสกา · เนวาดา · เพนซิลเวเนีย · ฟลอริดา · มอนแทนา · มิชิแกน · มินนิโซตา · มิสซิสซิปปี · มิสซูรี · เมน · แมริแลนด์ · แมสซาชูเซตส์ · ยูทาห์ · โรดไอแลนด์ · วอชิงตัน · วิสคอนซิน · เวสต์เวอร์จิเนีย · เวอร์จิเนีย · เวอร์มอนต์ · ไวโอมิง · ลุยเซียนา · แอริโซนา · ออริกอน · อะแลสกา · อาร์คันซอ · แอละแบมา · อินดีแอนา · อิลลินอยส์ · โอคลาโฮมา · โอไฮโอ · ไอดาโฮ · ไอโอวา · ฮาวาย
โครงสร้างทางการเมืองการปกครอง
มีรูปแบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ
(Federal Republic) แบ่งอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แต่ละฝ่ายได้รับเลือกในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
จึงมีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน (checks and balances) ประกอบด้วยพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ
พรรครีพับลิกัน (Republican) และพรรคเดโมแครต (Democrat)
ดังนี้
ฝ่ายบริหาร
มีประธานาธิบดี (President)
เป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาล (Chief of Executive) ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งทั่วไป ร่วมกับรองประธานาธิบดีทุก 4 ปี ในวันอังคารแรกหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านคณะผู้เลือกตั้ง
(Electoral College) จำนวน 538 คน
ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 สมัย สมัยละ 4 ปี
ประธานาธิบดีจะเป็นผู้ร่างรัฐบัญญัติต่อรัฐสภา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ผู้ทำสนธิสัญญาต่าง ๆ ตลอดจนแต่งตั้งผู้พิพากษาเอกอัครราชทูตและตำแหน่งต่าง ๆ ของฝ่ายบริหารตั้งแต่ระดับรองผู้ช่วยรัฐมนตรี
(Deputy Assistant Secretary) ขึ้นไป
ฝ่ายนิติบัญญัติ
ประกอบด้วย 2 สภา คือ
1.วุฒิสภา มีสมาชิกจากแต่ละรัฐ รัฐละ 2 คน รวมเป็น 100 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 6 ปี โดยสมาชิกจำนวน 1 ใน 3 ครบวาระทุก 2 ปี วุฒิสภามีอำนาจให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบต่อบุคคลที่ประธานาธิบดีเสนอขอแต่งตั้ง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และให้สัตยาบันสนธิสัญญา รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง (President of the Senate)
2.สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิก 435 คน แบ่งตามสัดส่วนของประชากรในรัฐ คือ ประชากร 575,000 คน ต่อ สมาชิก 1 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 2 ปี ประธานสภา (Speaker of the House)
ฝ่ายตุลาการ
ประกอบด้วย
ศาลชั้นต้น (Curcuit Court) ศาลอุทรณ์ (Appeal Court) และศาลฎีกา (Supreme Court) ศาลฎีกามีอำนาจที่จะล้มเลิกกฎหมายใด
ๆ และการปฏิบัติการของฝ่ายบริหารที่ได้วินิจฉัยแล้วว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกานั้น
ประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อและวุฒิสภาเป็นผู้ให้การรับรอง โดยศาลสูงของสหพันธ์มีผู้พิพากษาทั้งหมด
9 คน ซึ่งตำรงตำแหน่งได้โดยไม่มีการกำหนดวาระ โดยประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อและวุฒิสภาเป็นผู้ให้การรับรอง
สิทธิในการเลือกตั้ง :
อายุ 18 ปีขึ้นไป
เมืองขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
อันดับเมืองขนาดใหญ่ 15 เมืองแรก
จัดอันดับตามจำนวนประชากร
อันดับ
|
เมือง
|
รัฐ
|
ประชากร (ข้อมูล กรกฎาคม 2549)
|
1.
|
นิวยอร์กซิตี
|
รัฐนิวยอร์ก
|
8,214,426
|
2.
|
ลอส แองจูลิส
|
รัฐแคลิฟอร์เนีย
|
3,849,378
|
3.
|
ชิคาโก
|
รัฐอิลลินอยส์
|
2,873,321
|
4.
|
ฮูสตัน
|
รัฐเทกซัส
|
2,144,491
|
5.
|
ฟินิกซ์
|
รัฐแอริโซนา
|
1,512,986
|
6.
|
ฟิลาเดลเฟีย
|
รัฐเพนซิลเวเนีย
|
1,448,394
|
7.
|
ซาน อันโตนีโอ
|
รัฐเทกซัส
|
1,296,682
|
8.
|
ซาน ดีเอโก
|
รัฐแคลิฟอร์เนีย
|
1,256,951
|
9.
|
ดัลลัส
|
รัฐเทกซัส
|
1,232,940
|
10.
|
ซานโฮเซ
|
รัฐแคลิฟอร์เนีย
|
929,936
|
11.
|
ดีทรอยต์
|
รัฐมิชิแกน
|
871,121
|
12.
|
แจ๊กสันวิลล์
|
รัฐฟลอริดา
|
794,555
|
13.
|
อินดินาโพลิส
|
รัฐอินดีแอนา
|
785,597
|
14.
|
ซาน ฟรานซิสโก
|
รัฐแคลิฟอร์เนีย
|
744,041
|
15.
|
โคลัมบัส
|
รัฐโอไฮโอ
|
733,203
|
สถานที่ท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกา
ซานฟรานซิสโก
สะพานโกลเดนเกต (Golden
Gate Bridge)
ใน เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกาสะพานโกลเดนเกต เป็นสะพานแขวนที่มีความยาวมากที่สุดในโลกทอดข้ามอ่าวทางตอนเหนือ
ของเมืองซานฟรานซิสโก สร้างเป็นแบบโครงแขวน ตัวสะพานแขวนประกอบด้วยหอคอยเหล็กสองข้างข้างละ
215 เมตร ใช้ ลวดเคเบิลที่โยงทอดเป็นตัวดึงน้ำหนักสะพานมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
36 นิ้วข้างละ 2 เส้น รวม 4 เส้น ยาว 107,000 ไมล์ และยังมีเส้นลวดเล็ก ยึดสายโยงอีกรวม
27,572 เส้นมีช่วงกลางระหว่างตอม่อยาว 1.26 กิโลเมตร ส่วนริม 2 ฟาก ยาวข้างละ 34 เมตรรวมยาวทั้งหมดประมาณ7 กิโลเมตรมีส่วนกว้าง
27 เมตรเป็นสะพานแบบสะพานแขวนขนาดใหญ่ และยาวมากที่สุดสะพานแรกในยุคนั้นจนเป็นที่น่ามหัศจรรย์ของผู้ผ่านไปมาและพบ
เห็นยิ่งนัก และเป็นแบบอย่างในการออกแบบสร้างสะพานแขวนแบบใหญ่และยาวมากขึ้นไปอีกในโอกาส
ต่อๆมา
ไชน่า ทาวน์ (China town )
เมืองซานฟรานซิสโก ทางชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นเมืองที่มีการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างอดีต
ปัจจุบัน จนถึงอนาคต มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียกับอเมริกา
ย่านเศรษฐกิจของชาวจีนที่อาศัยอยู่ใน ซานฟรานซิสโก มีร้านค้ามากมาย
เช่น ร้านขายปลา ร้านขายผัก และร้านขายสมุนไพร มีวัดจีน และร้านอาหารที่มีชื่อ
เช่น Lichee Garden, Hunan Home’s, R&G Restaurants นอกจากนี้ก็มีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ด้านสังคมของชาวจีน
ในอเมริกาและเป็นศูนย์วัฒนธรรมของชาวจีน
ย่านไชนาทาวน์ที่ซานฟรานซิสโกเป็น ชุมชนของคนจีนที่เก่าแก่ที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ
ที่ไชน่าทาวน์ยังคงเห็นวิถีชีวิตของชาวจีนที่อพยพมาตั้งรกรากหลายชั่วอายุคน เด็ก ๆ
ลูกหลานชาวจีนแถบนี้ยังคงพูดภาษาจีนเป็นภาษาแรกในบ้าน ที่นี่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งของซานฟรานซิสโก
มีร้านอาหารถึง 300 กว่าร้าน มีร้านช้อปปิ้งขายของที่ระลึกราคาถูก
ถนนลอมบาร์ด (Lombard
Street)
เป็นถนนที่คดเคี้ยวที่สุดในโลก สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1922 เพื่อเชื่อมถนนไฮด์(Hyde) กับถนนลีเวนเวิร์ท(Leavenworth0
โดยไต่ลงมา) ตามเนินชัน 40 องศา ซิกแซก 8
โค้งหักศอกแบบวันเวย์ขาลง ระหว่างโค้งตกแต่งต้นไม้ดอกไม้สวยงาม
และมีบันไดคนเดิน 2 ข้างทาง
ถนนลอมบาร์ดนี้ เขาว่าเป็นการณืที่ยากจะลืมเลือนสำหรับนักขับรถ
รถจำนวนมากจะไหลๆ ตามกันลงมา เมื่อใครเบรกหยุดสักคน
รถที่ตามหลังมาก็จะชะงักกันไปหมด จนกลัวจะได้ยินเสียงวตูม หรือ โครม
และกลิ่นเหม็นของผ้าเบรค ยางไหม้ และไอเสีย ที่ฟุ้งตลบ ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นเดือดร้อน
ถึงขั้นเรียกร้องให้ปิดถนน นี้เสียไม่ให้รถวิ่งอีกต่อไป เพราะนักท่องเที่ยวที่มาลองขับรถสร้างความรำคาญให้ไม่เว้นแต่ละวัน
ยิ้งหน้าท่องเที่ยว ฤดูร้อน รถจะติดยาวเป็นกิโลเมตร
เกาะอัลคาทราซ หรือ เดอะร็อค (Alcatraz)
เป็นเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางอ่าวซานฟรานซิสโก ในแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
เกาะนี้เคยเป็นสถานที่ตั้งประภาคาร ป้อมปราการของกองทัพ และยังเป็นคุกทหารจนถึงปี 1963 หลังจากนั้น เกาะอัลคาทราซก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ปัจจุบันนี้ เกาะอัลคาทราซเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์จากการอนุมัติโดยหน่วยงานอุทยาน
แห่งชาติ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ "Golden Gate National Recreation
Area" และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถไปเยี่ยมชมโดยเรือเฟอร์รี่จาก
ท่าเรือ 33 ใกล้กับ ฟิชเชอร์แมนวาร์ฟ (Fisherman's
Wharf) ในซานฟรานซิสโก นอกจากนี้เกาะแห่งนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติในปี
1986
เกาะอัลคาทราซ ไม่ใช่
"เกาะแห่งความชั่วร้ายของอเมริกา"
อย่างที่ปรากฏในหนังสือและภาพยนตร์ต่างๆ จำนวนนักโทษโดยเฉลี่ยประมาณคือ 260-275
คน (จำนวนนักโทษนี้ยังไม่ถึงปริมาณที่รองรับได้สูงสุด
336 คน ซึ่งนับได้ว่าจำนวนนักโทษของเกาะมีสัดส่วนน้อยกว่า 1%
ของจำนวนนักโทษทั่วประเทศ) มีนักโทษมากมายถูกพิพากษาไว้ชีวิต และมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่านักโทษที่อื่น
(ยกตัวอย่างเช่น นักโทษหนึ่งคนต่อหนึ่งห้องขัง) ซึ่งมีนักโทษหลายคนขอย้ายไปอยู่ที่เกาะอัลคาทราซ
รัฐเเคลิฟอร์เนีย
ทะเลสาบทาโฮ (Lake
Tahoe)
อยู่ระหว่างมลรัฐแคลิฟอร์เนียและมลรัฐนาวาดา ถือเป็นพื้นที่ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ
ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด เป็นทะเลสาบที่อยู่ในเทือกเขาสูงที่สุด (Alpine Lake) ในเขตอเมริกาเหนือ แม้ว่าอุณหภูมิในเขตนี้จะต่ำมาก
แต่น้ำในทะเลสาบนี้ไม่เคยกลายเป็นน้ำแข็ง ทั้งยังมีความใสสะอาดมองเห็นพื้นได้ในระดับลึกถึง
100 ฟุต ทะเลสาบทาโฮโอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะหนา
เหมาะแก่การผจญภัยด้วยสกี เป็นที่ตั้งของสกีรีสอร์ตหลายแห่ง ได้แก่ รีสอร์ต
Squaw Valley USA รีสอร์ต Heavenly รีสอร์ต Kirkwood
รีสอร์ต Northstar-at-Tahoe รีสอร์ต Alpine
Meadows รีสอร์ต Mt.Rose-Ski Tahoe และ รีสอร์ต
Sierra-at-Tahoe เป็นต้น ทำให้ดินแดนแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของการเล่นสกีที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา
อุทยานแห่งชาติโยเซมิตี
(Yosemite National Park)
อุทยานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
มีพื้นที่ 1,189 ตารางไมล์ หรือ (3,081 ตร.กม.) โดยมีพื้นที่จรดทะเลทรายเนวาดา อุทยานแห่งชาติโยเซมิตีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
มีนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 3 ล้านคนต่อปี
และได้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) โยเซมิตีเป็นที่รู้จักในชื่อของหน้าผาหินแกรนิต ยอดเขาโดมครึ่งซีก (Half
dome) น้ำตกขนาดใหญ่หลายน้ำตก และพื้นที่ประมาณ 89% ของอุทยานเป็นป่าที่มีสัตว์อาศัยอยู่
ถ้ำคริสตัล (Crystal
Cave)
ถ้ำคริสตัล เป็น 1
ใน 240 ถ้ำ (ที่ถูกค้นพบ) ภายในอุทยานแห่งชาติ
Sequoia ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ถ้ำดังกล่าวเป็นถ้ำ
"หินอ่อน" ธรรมชาติ ที่ภายในมีอุณหภูมิคงที่ประมาณ 9
องศาเซลเซียส ซึ่งการจะเข้าไปชมภายในถ้ำต้องอาศัยไกด์ทัวร์เป็นผู้นำทางเท่านั้น
ลอสแอนเจลิส (Los Angeles)
ฮอลลีวูด (อังกฤษ: Hollywood)
เป็นชื่อเขตในนครลอสแอนเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือนกับเป็นถนนหรือเขตหนึ่งเท่านั้น
ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ทางตะวันตกถึงตะวันตกเฉียงเหนือของศูนย์กลางนครลอสแอนเจลิส
[1] เนื่องจากว่าฮอลลิวูดนั้นมีชื่อเสียงและมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมในฐานะที่
เป็นศูนย์กลางแห่งประวัติศาสตร์ของโรงถ่ายทำภาพยนตร์ และดาราภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ดังนั้น ชื่อของฮอลลีวูดจึงมักจะถูกเรียกเป็นชื่อแทนของโรงภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา
อีกด้วย ทุกวันนี้มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์จำนวนมากที่ได้แพร่กระจายไปรอบๆพื้นที่ของแค
ลิฟอร์เนียและทางตะวันตกของนครลอสแอนเจลิส แต่อุตสาหรรมภาพยนตร์หลักๆที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อ
การใส่เทคนิคพิเศษ ผู้สนับสนุน การผลิตขั้นสุดท้าย และบริษัททางด้านแสงประกอบ ยังคงอยู่ในฮอลลีวูด
โรงละครสำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ของฮอลลีวูดหลายแห่งถูกใช้เป็นสถานที่ชุมนุมและเวที
คอนเสิร์ตในงานเปิดตัวสำคัญๆระดับยักษ์ใหญ่ของโลกและยังเป็นเจ้าภาพในการ ประกาศรางวัลอะคาเดมี่อวอร์ดหรือที่เรียกกันติดปากว่ารางวัลออสการ์นั่นเอง
ฮอลลีวูดเป็นสถานที่ที่คนทั่วโลกต้องการมาเยือนทั้งนักผจญราตรีและนักท่อง เที่ยวทั้งหลาย
และยังเป็นที่ตั้งของถนน ฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม (Hollywood
Walk of Fame) ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
ประวัติ
ใน ค.ศ. 1853 กระท่อมอิฐหลังเล็กๆหลังหนึ่งได้กลายมาเป็นฮอลลีวูดในทุกวันนี้ ในราวปี ค.ศ.
1870 ชุมชนเกษตรกรรมได้เจริญขึ้นมาในพื้นที่แห่งนี้พร้อมๆกับผลผลิตที่เจริญงอก
งามมากในช่วงนั้น ที่มาของชื่อฮอลลีวูดที่ ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดนั้นน่าจะมาจากชื่อของต้น
Tyon ท้องถิ่นหรือเรียกกันว่า
"แคลิฟอร์เนียฮอลลี่" ที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์ปกคลุมเนินเขาในสมัยนั้นและยังออกผลเบอร์รี่สี
แดงกระจายอยู่ทั่วไปในช่วงหน้าหนาวของทุกปีอีกด้วย จากนั้นความเชื่อนี้และความเชื่อในเรื่องของที่มาของคำว่าฮอลลี่นี้ก็มีคน
เชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆแต่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริงแต่อย่างใด บ้างก็ว่าชื่อของฮอลลีวูดนี้เป็นชื่อที่ตั้งโดย
เอช.เจ.ไวท์ลี่ย์ บิดาแห่งฮอลลีวูด ซึ่งทั้งเขาและกีกี้ ภรรยาของเขาได้ตั้งชื่อนี้ขึ้นขณะที่มาฮันนีมูนกัน
ตามบันทึกของมากาเร็ต เวอร์จิเนีย ไวท์ลี่ย์ บ้างก็ว่ามาจาก ฮาร์วี่ย์ วิลคอกซ์ ที่ได้มาซื้อที่ดินในบริเวณนี้และก็พัฒนาเป็นชุมชุนขึ้นมา
โดยดาเออิดา ภรรยาของเขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งบนรถไฟที่บอกว่าเธอได้ตั้งชื่อบ้านพักฤดู
ร้อนที่มลรัฐโอไฮโอว่า ฮอลลีวูด ดาเออิดาชอบชื่อนี้และก็เอามาตั้งเป็นชื่อของชุมชนที่ตั้งขึ้นมาใหม่นี้
คำว่าฮอลลีวูดนี้ได้ปรากฏเป็นครั้งแรกในแผนที่ของวิลคอกซ์สำหรับการแบ่งสรร พื้นที่และปรากฏในเอกสารของบันทึกเขตปกครองของวันที่
1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1887
ตามคำพูดของจอร์แดน แมกซ์เวลล์นั้น
ชื่อของฮอลลีวูดนั้นอ้างอิงมาจากไม้กายสิทธิ์ Druidic ซึ่งทั้งไม้กายสิทธิ์และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูดนั้นเป็นเครื่องมือในการ
จัดการกับคน
ในราวปี ค.ศ. 1900 คณะบุคคลที่เรียกตัวเองว่า Cahuenga ได้จัดตั้งที่ทำการไปรษณีย์ หนังสือพิมพ์ โรงแรม
และตลาดสองแห่งด้วยจำนวนประชากรเพียง 500 คน ซึ่งในขณะนั้น
ลอสแอนเจลิสมี ประชากรประมาณ 100,000 คนและมีเมืองที่ทอดผ่านสวนผลไม้รถส้มเป็นระยะทางกว่า
7 ไมล์ มีชื่อเส้นทางเดินรถเพียงชื่อเดียวจากใจกลางของ Prospent
Avenue ที่พาดผ่านแต่มีการให้บริการไม่บ่อยนักและต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ
2 ชั่วโมง แต่บ้านสำหรับการบรรจุหีบห่อผลไม้รสส้มในสมัยก่อนนั้นอาจจะกลายเป็นจุดสำคัญ
ที่นำความเจริญและการคมนาคมที่สะดวกสบายขึ้นมาสู่ผู้อยู่อาศัยในย่านฮอลลี วูด
โรงแรมฮอลลีวูดอันเป็นโรงเรียนใหญ่โรงแรมแรกของฮอลลีวูดที่มีชื่อเสียงนั้น
ถูกเปิดให้ใช้บริการในปี ค.ศ. 1902 โดยเอช.เจ.ไวท์ลี่ย์ เพื่อขายเป็นที่พักอาศัยเป็นจำนวนมากท่ามกลางฟาร์มปศุสัตว์
ตั้งอยู่หน้า Prospect Avenue และด้านข้างฝั่งตะวันตกของ Highland
Avenueปี ค.ศ. 1903 ฮอลลีวูดถูกรวมเป็นเทศบาลแห่งหนึ่ง
และในปี ค.ศ. 1904 รถบรรทุกวิ่งจากลอสแอนเจลิสมายังฮอลลีวูดคันใหม่ก็เปิดให้ใช้บริการ
ระบบนี้เรียกว่า Hollywood Boulevard ซึ่งช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางไป-กลับลอสแอนเจลิสได้อย่างมากปี
ค.ศ. 1910 มีการพยายามจะรักษาระดับการขายน้ำอย่างพอเพียง ชาวเมืองจึงโหวตให้ฮอลลีวูดถูกผนวกให้เป็นส่วนหนึ่งของนครลอสแอนเจลิส
จึงทำให้ระบบชลประทานเพื่อการพัฒนาเมืองนั้นถูกเปิดเป็น Los Angeles
Aqueduct และต่อน้ำทางท่อจากแม่น้ำโอเว่นในหุบเขาโอเว่น นอกจากนั้น การโหวตครั้งนี้ก็ยังมีเหตุผลมาจากกาารต้องการให้ฮอลลิวูดกลายเป็นทางระบาย
น้ำเสียของนครลอสแอนเจลิสอีกด้วยหลังจากถูกผนวกเข้ากับนครลอสแอนเจลิสแล้ว ชื่อของ Prospect
Avenue ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็น Hollywood Boulevard และหมายเลขถนนในพื้นที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนไป เช่น จาก 100 Prospect
Avenue ที่ Vermont Avenue ก็กลายมาเป็น 6400
Hollywood Boulevard และ 100 Cahuenga Boulevard ที่ Hollywood Bouvelard ก็เปลี่ยนเป็น 1700
Cahuenga Boulevard เป็นต้น
ฮอลลีวูดกับอุตสาหกรรมภาพเคลื่อนไหว
ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1910 ผู้กำกับ D.W.
Griffith ถูกส่งมายังชายฝั่งตะวันออกโดยบริษัทชีวประวัติของอเมริกาพร้อมด้วยนักแสดง
ของเขาอันประกอบไปด้วยนักแสดง Blanche Sweet, Lillian Gish, Mary Pickford,
Lionel Barrymore และอื่นๆ พวกเขาได้เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ครั้งแรกในโรงถ่ายที่ว่างอยู่
ณ ใจกลางเมืองของลอสแอนเจลิส บริษัทนี้ตัดสินใจที่จะสำรวจหาดินแดนใหม่และได้เดินทางไปทางตอนเหนือเป็น
ระยะ 5 ไมล์จนถึงหมู่บ้านเล็กๆแห่งฮอลลีวูด ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้เป็นมิตรและสนุกสนานกับบริษัทภาพยนตร์ที่มาถ่ายทำที่
นั่นอย่างมาก จากนั้น Griffith ก็ได้เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของฮอลลีวูดที่มีชื่อว่า
In Old California ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวเมโลดราม่าชีวประวัติที่เกี่ยวกับแคลิฟอร์เนียยุคลาติ
นเม็กซิกัน ในราวปี 1800 บริษัทภาพยนตร์แห่งนี้ได้อยู่ที่นี่เป็นเวลาร่วมเดือนและสร้างผลงานภาพยนตร์
ออกมาสองสามเรื่องก่อนที่จะเดินทางกลับนิวยอร์ก หลังจากนั้น บริษัทภาพยนตร์หลายแห่งก็ได้ยินชื่อเสียงของสถานที่อันวิเศษนั้น
จนในปี ค.ศ. 1913 ก็มีหลายบริษัทได้ตัดสินใจมุ่งหน้าไปทางตะวันตก
และภาพยนตร์เรื่องยาว(Feature Film)เรื่องแรกที่สร้างในฮอลลิวูดคือเรื่อง
"The Squaw Man" ที่กำกับโดย Cecil B. Demille โดยก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์ทั้งหมดที่ถ่ายทำในปี ค.ศ. 1908 ถึง ค.ศ. 1913 ต่างก็เป็นภาพยนตร์สั้นทั้งหมด ภาพยนตร์เหล่านี้ถือว่าเป็น'จุดกำเนิด'ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งฮอลลีวูด อย่างแท้จริง
หลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฮอลลีวูดได้กลายมาเป็นศูนย์กลางภาพยนตร์ของโลก
บริษัทที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงอยู่ในฮอลลีวูดในทุกวันนี้ก็คือ William
Horsley of Gower Gulch-based Nestor และ Centaur films ที่เป็นผู้สร้างห้องปฏิบัติการภาพยนตร์ของฮอลลีวูด
ที่ตอนนี้มีชื่อเรียกว่า ห้องปฏิบัติการดิจิตอลแห่งฮอลลีวูด (the Hollywood
Digital Laboratory)
ฮอลลีวูดสมัยใหม่
วันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1947 สถานีโทรทัศน์พาณิชย์แห่งแรกทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี
คือสถานีโทรทัศน์ KTLA ได้เริ่มเปิดทำการครั้งแรกที่ฮอลลีวูด
และเดือนธันวาคมของ ปีนั้น การถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดเพื่อออกอากาศทางโทรทัศน์ก็ได้ดำเนินการขึ้นเป็น
ครั้งแรก ชื่อว่า The Public Prosecutor และในราวปี ค.ศ. 1950
บรรดาสตูอิโอบันทึกเสียงเพลงและสำนักงานต่างๆก็ได้เริ่มย้ายมาอยู่ที่ฮอลลิ
วูด อย่างไรก็ตาม ทางด้านธุรกิจอื่นๆนั้นได้ย้ายไปยังพื้นที่อื่นของลอสแอนเจลิส โดยเริ่มต้นที่
Burbank แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์จำนวนมากจึงยังคงอยู่ที่ฮอลลิวูด
แม้ว่าบริเวณด้านนอกของเขตนี้ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ไปจากเดิมแล้ว
ดิสนีย์แลนด์ ดินแดนแห่งเวทย์มนต์ในฝัน
ย้อนไปในอดีต สวนสนุกดิสนีย์แลนด์แห่งแรก เกิดขึ้นจากความฝันของ วอลซ์
ดิสนีย์ (Walt E. Disney) ที่ต้องการสร้างสวนสนุกที่เด็กและผู้ปกครองสนุกไปด้วยกันได้
แผนดั้งเดิมนั้นจะสร้างขึ้นบนพื้นที่ 8 เอเคอร์ (ประมาณ 20.23
ไร่) ถัดจาก สตูดิโอ Burbank เพื่อให้ลูกจ้างและครอบครัวได้พักผ่อนกัน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ความคิดนี้ได้ถูกระงับไว้ชั่วคราว
แต่ความฝันของวอลซ์ยังดำเนินต่อไป เขาเริ่มมองว่าพื้นที่ 8 เอเคอร์นั้นน้อยเกินไป
การสร้างสวนสนุกจะต้องใช้เงินลงทุนและพื้นที่จำนวนมาก มีเพียงวอลซ์ และรอย
(Roy O. Disney) น้องชายของเขา และคนอื่นอีกไม่มากที่เชื่อว่าสวนสนุกนี้จะประสบความสำเร็จ
วอลซ์เคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่า “ผมไม่เคยให้ความเชื่อมั่นกับนักการเงินได้เลยว่า
ดิสนีย์แลนด์จะเกิดขึ้นได้ เพราะความฝันเป็นหลักประกันที่น้อยเกินไป” วอลซ์ตัดสินใจที่จะใช้ทีวีเผยแพร่ความคิดเกี่ยวกับดินแดนแห่งเวทย์มนต์
(Magic Kingdom) ไปถึงบ้านประชาชนรายการนี้เรียกว่า ดิสนีย์แลนด์ และนี่เองได้นำความคิดไปสู่ความเป็นจริงสำหรับดิสนีย์และชาวอเมริกันในช่วง
การออกแบบ ดิสนีย์ได้รับคำถามกดดันมากมายในการออกแบบ ว่าสิ่งนั้นจะทำได้ยังไง
สิ่งนี้จะทำออกมาได้หรือ นับเป็นงานที่ไม่เคยทำกันมาก่อน แต่ในที่สุดก็ได้แบบดิสนีย์แลนด์ที่มีทั้งหมด
5 ส่วน คือ
เมนสตรีท ยูเอสเอ (Main Street USA) เป็นที่ซึ่งวอลซ์ต้องการให้ถนนสายหลักของเมืองในศตวรรษก่อนกลับมามีชีวิตอีก
ครั้ง เหมือนสมัยเด็กที่เขาอาศัยอยู่ในมิสซูรี่ เขาพูดว่า “สำหรับพวกเรามันเป็นเวลาที่ไม่ต้องห่วงกังวลอะไร
มีแต่ความเพลิดเพลินใจ เมนสตรีทจะนำความทรงจำที่มีความสุขกลับมา และสำหรับนักท่องเที่ยวเด็กและหนุ่มสาวมันเป็นเรื่องสนุกที่จะย้อนเวลากลับ
ไปในช่วงวัยหนุ่มของคุณปู่”
แอดเวนเจอร์แลนด์ (Adventureland) เป็นสถานที่ต้นแบบแห่งความแปลกในดินแดนอันไกลโพ้นของโลก
วอลซ์บอกว่า “เพื่อสร้างดินแดนที่ความฝันเป็นความจริง เราจะต้องวาดภาพตัวเราเองให้ห่างไปจากความเจริญ
อาจเป็นในป่าห่างไกลของเอเซียและแอฟฟริกา”
ฟรอนเทียร์แลนด์ (Frontierland) ทำให้วันแห่งการบุกเบิกดินแดนอเมริกากลับมาอีกครั้ง
วอลซ์กล่าวว่า “พวกเราทั้งหมดภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติ ซึ่งเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้จากพลังแห่งการบุกเบิกของบรรพบุรุษ
การผจญภัยที่เราได้ออกแบบขึ้นนี้จะทำให้คุณรู้สึกมีชีวิตชีวา แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น
ๆ ระหว่างวันแห่งการบุกเบิกประเทศ”
การก่อสร้างดิสนีย์แลนด์แห่งแรกนี้ เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 1954 บนพื้นที่ป่าส้มขนาด 160 เอเคอร์ แน่นอนว่า ทุกสิ่งไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นตามแผนที่วางไว้ ปัญหาที่ไม่คาดคิดหลายอย่างเกิดขึ้น
เช่น ตอนสร้างแม่น้ำแห่งอเมริกา (River of America) ทุกคนตื่นเต้นมากที่ได้เห็นน้ำไหลเข้ามาครั้งแรก
แต่แล้วความสุขกลับกลายเป็นความเศร้าเมื่อน้ำซึมลงดินไปหมด หลังจากการทดลองหลายครั้ง
ดินเหนียวจึงถูกนำมาใช้ในการการปัญหานี้ บางครั้งวอลซ์ไม่ชอบงานที่นักออกแบบของสตูดิโอทำมา
เขาก็จะทำมันด้วยตัวเอง เช่น เกาะของ Tom Saywer วอลซ์คิดว่านักออกแบบไม่เข้าใจไอเดีย
เขาจึงนำแผนกลับไปบ้าน และวันต่อมาก็มีแบบมาอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ดิสนีย์แลนด์ แยกตัวจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์
เมื่อกำแพงสูง 20 ฟุตถูกสร้างขึ้นโดยรอบ ซึ่งปัจจุบันกลายมาเป็นรางรถไฟดิสนีย์แลนด์
ความคิดดั้งเดิมเพียงความคิดเดียวจากไอเดีย Magical Little Park ของดิสนีย์ใช้เวลาสร้างเพียงปีเดียว ดิสนีย์แลนด์ก็พร้อมที่จะเปิดตัว จากสวนสนุกแห่งเวทย์มนต์เล็ก
ๆ (The magical little park) กลายเป็น อาณาจักรแห่งเวทย์มนต์
(Magical Kingdom) ทุนสร้าง 17 ล้านดอลลาห์
ความฝันของวอลซ์กลายเป็นจริงในที่สุด และสวนสนุกดิสนีย์แลนด์แห่งแรกก็เปิดตัวขึ้นในวันที่
17 ก.ค.ปีค.ศ. 1955 ที่ Anaheim
รัฐแคลิฟอเนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ต่อมาในช่วงยุค 90 แผนการขยายดิสนีย์แลนด์ได้ถูกจัดทำขึ้น
บริษัท วอลซ์ ดิสนีย์ ได้ซื้อที่โดยรอบสวนสนุก
คอมเพล็กซ์ที่ขยายออกมาประเดิมเปิดเป็น Disneyland Resort ในปี
2001 พร้อมกับเปิดดาวน์ทาวน์ดิสนีย์ (Downtown
Disney) ในเดือนมกราคม และดิสนีย์ แคลิฟอร์เนีย แอดเวนเจอร์ (Disney
California Adventure) ในเดือนกุมภาพันธ์
นอกจากนี้ยังได้สร้างโรงแรมขึ้น 3 แห่งบนที่จอดรถเดิมของดิสนีย์แลนด์
และที่ดินที่ซื้อมาใหม่
ดิสนีย์แลนด์ฉลองครบรอบ 50 ปี ในปี 2005 ให้ชื่อว่า
งานคืนสู้เหย้าความสุขที่สุดบนโลก (The Happiest Homecoming on Earth) เปิดงานไปเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2005 ซึ่งจะมีการฉลองเป็นเวลา 18 เดือนนอกจากสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ในแคลิฟอร์เนียร์แล้ว
ในปี 1971 อาณาจักรแห่งเวทย์มนต์ แมจิค คิงดอม (Magic
Kingdom) ได้เปิดขึ้นเป็นแห่งที่ 2 ในวันที่ 1
ตุลาคม สวนสนุกแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ 107 เอเคอร์
(ประมาณ 270.63 ไร่) ในวอลซ์ ดิสนีย์ เวิล์ดรีสอร์ท (Walt
Disney World Resort) ใกล้กับออลันโด (Orlando) รัฐฟลอริดา มีบริษัท วอลซ์ ดิสนีย์ เป็นเจ้าของและดำเนินงานเอง นับเป็นสวนสนุกแห่งฟลอริดาที่มีชื่อเสียงที่สุด
การออกแบบและเครื่องเล่นต่าง ๆ โดยทั่วไปเหมือนกับดิสนีย์แลนด์แคลิฟอร์เนียร์ ได้รับการออกแบบและสร้างโดยจินตวิศวกรของวอลซ์ดิสนีย์
(Walt Disney Imagineering)
ดิสนีย์แลนด์ฟลอริดานี้ นอกจากจะมีอนุสาวรีย์หุ้นส่วน (Partner
Statue) วอลซ์ ดิสนีย์ และมิคกี้ เม้าส์ ที่ทำจากทองสัมฤทธิ์
อยู่ด้านหน้าปราสาทซินเดอเรลล่าแล้ว ยังมี อนุสาวรีย์ทองสัมฤทธิ์ของ รอย โอ
ดิสนีย์ (Roy O. Disney) นั่งอยู่กับ มินนี่ เม้าส์
ใกล้ทางเข้าสวนสนุกด้
ยูนิเวอร์เซล สตูดิโอ Universal
studio
ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ขึ้นชื่อของลอสแองเจลิส
(แคลิฟอร์เนีย) ตั้งอยู่ที่ Hollywood Town ใน
แคลิฟอร์เนีย นอกจากนั้นยังกระจายครอบคลุมทุกมุมโลกคือ Universal Studio
Japan ที่โอซากา และ Universal Mediterranean ที่สเปน
ซึ่งแต่ละที่มี VIP Studio Tour ให้เข้าชมเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ดังแต่ละฉาก
ตั้งแต่ในเวที Soundstages ฉาก Backlot streets และ Special Effects ทั้งหลาย นอกจากนั้นยังมีสวนสนุก
บ้านผี จากหนังสยองเรื่อง Mummy เรื่อง Fortress
Dracula เรื่อง Jurassic Park และ Terminator
เป็นต้น
ฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม (อังกฤษ: Hollywood
Walk of Fame)
เป็นทางเท้าที่อยู่สองข้างทางถนน
ฮอลลีวูด บูเลวาร์ด ในทิศตะวันออก-ตะวันตก และไวน์ สตรีท ในทิศเหนือ-ใต้
ตั้งอยู่ในฮอลลีวูด ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียสหรัฐอเมริกา
เป็นระยะทางเดินเท้าทั้งสิ้น 3 1/2 ไมล์
ฮอลลีวูด วอล์ก ออฟ เฟม
ประดับด้วยแผ่นหินตบแต่งเป็นรูปดาวห้าแฉก จำนวนมากกว่า 2000
ดวง จารึกชื่อของนักแสดง และบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการมายา จาก 5
วงการ ซึ่งถือเป็นเกียรติสูงสุด
สำหรับผู้ได้รับคัดเลือกให้จารึกชื่อ คือ
*
วงการภาพยนตร์
* วงการโทรทัศน์
* วงการดนตรี
* วงการวิทยุ
* วงการละครเวที
* วงการโทรทัศน์
* วงการดนตรี
* วงการวิทยุ
* วงการละครเวที
ดาว จารึกชื่อของ บักส์ บันนี
ฮอลลีวูด วอล์ก ออฟ เฟม
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2501 ในครั้งแรกประกอบด้วยดาวที่ไม่ได้จารึกชื่อ
จำนวน 2500 ดวง และได้จารึกชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียง จำนวน 1558
คน ในเวลา 16 เดือนต่อมา
การประชุมคณะกรรมการ
เพื่อคัดเลือกรายชื่อผู้ได้รับการจารึก จัดทำขึ้นในเดือนมิถุนายนของทุกปี
โดยผู้ที่ได้รับการจารึก ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นบุคคลที่มีอยู่จริง เคยมีการจารึกชื่อตัวละครสมมุติในภาพยนตร์
เช่น มิกกี้เมาส์ สโนไวท์ ก๊อดซิลลา โดนัลด์ดั๊ก บักส์ บันนี เดอะซิมป์สัน หมีพูห์
กบเคอร์มิต หรือแม้แต่จารึกชื่อสัตว์ เช่น แลซซี สตรองฮาร์ท และรินตินติน หรือชื่อบริษัท
เช่น ดิสนีย์แลนด์
ปัจจุบัน ฮอลลีวูด วอล์ก ออฟ เฟม
ดูแลรักษาโดย Hollywood Historic Trust มีเงื่อนไขว่าผู้ที่ได้รับการจารึกชื่อทุกคน
จะต้องชำระเงินค่าธรรมเนียม เป็นเงิน 25,000 เหรียญสหรัฐ
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบำรุงรัก
ลาสเวกัส
ลาสเวกัส (อังกฤษ: Las
Vegas)
เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในมลรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา เป็นสถาณที่ที่ชาวอเมริกันและคนทั่วโลก
ให้ฉายาว่า "เมืองแห่งบาป" (Sin
City) หรือ นักเขียนบางคนให้ชื่อว่าเป็น "America's
Playground" หรือสนามเด็กเล่นของสหรัฐอเมริกา
ลาสเวกัสเป็นสถาณที่ที่มีลักษณะพิเศษ เพราะเมืองทั้งเมืองเจริญเติบโตขึ้นมาจากความก้าวหน้าของกิจการการพนัน
เป็นแรงดึงดูดหลักให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา ต่อมาก็ได้พัฒนาไปสู่ธุรกิจบริการใกล้เคียง
ได้แก่ โรงแรม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า
ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความโอ่อ่าอลังการ และขนาดใหญ่มากกว่าที่อื่นในโลก
จะหาได้ค่อนข้างยากที่จะมีบ่อนการพนัน และโรงแรมมารวมตัวกันอย่างแน่นหนาในบริเวณใกล้เคียงกันเหมือนกับเมืองลาสเว
กัส แห่งนี้ โดยในที่สุด ปัจจุบันนี้ คนไปเที่ยวลาสเวกัสไม่ได้เป็นเพราะต้องการที่จะไปเล่นการพนันหรือไปดื่มกิน
ให้สนุกเป็นหลักอีกต่อไป แต่ไปเพื่อได้เห็นลักษณะอันพิเศษของเมืองนี้
นครนิวยอร์ก
ตึกเอ็มไพร์สเตต (Empire
State Building)
อยู่ บนเกาะแมนฮัตตันในเมืองนิวยอร์คของประเทศสหรัฐอเมริกาตึกเอ็มไพร์สเตต
ใช้อิฐในการสร้าง 10 ล้านก้อนสูง 375 เมตร
และลึกลงไปใต้ดิน จากระดับถนนอีก 10 เมตร แบ่งเป็น 102
ชั้น บนยอดสุดมีโดมสูงขึ้นไปอีก60 เมตรจากชั้นล่างถึงชั้นที่
86 มีโครงเหล็กเสริมอย่างดี ชนิดไม่ขึ้นสนิม คิดเป็นน้ำหนัก 730
ตัน มีหน้าต่างทั้งหมด 6,500 บาน จุคนได้ 80,000
กว่าคน รับประกัน 6,000 ปี มีบริษัทใช้เป็น
ที่เปิดทำการกว่า600 บริษัท ใช้ลิฟท์ขึ้นลง 65 ตัว เริ่มสร้างเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2472 สร้างเสร็จเมื่อ 1 พฤษภาคมพ.ศ. 2480
เทพีเสรีภาพ (Statue
of Liberty)
อยู่ ในนครนิวยอร์กของประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ ตั้งอยู่ ณ เกาะเบคโล
ปากอ่าวแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
เป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบเอาไว้เป็นของขวัญ แก่ชาวอเมริกัน
ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100
ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่ 28
ตุลาคม พ.ศ. 2429 เทพีเสรีภาพเป็นอนุสาวรีย์ที่เป็นสัญลักษณ์
"เสรีภาพ" ของคนอเมริกันเป็นรูปสตรียืนสูงเด่นอยู่บนแท่นทรงสี่เหลี่ยมสูงที่ตั้งอยู่
บนฐานกว้าง 3 ชั้นรองรับกลมกลืนอย่างดี
ลดหลั่นกันลงไปอยู่เบื้องล่าง ตัวเทพีสูง 152 ฟุต
แขนแต่ละข้างยาว 42 ฟุต นิ้วชี้ยาว 8 ฟุต
เล็บนิ้วยาว 10-13 นิ้ว ยืนอยู่บนฐาน
สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา
เพราะว่า พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าหาญ ที่ลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และประกาศอิสรภาพ
จากสหราชอาณาจักรสำเร็จ เป็นชาติเอกราชในที่สุด ชาวฝรั่งเศส
จึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศ
สี่เหลี่ยม สูง 150
ฟุต ส่วนที่เป็นลำตัวทำด้วยทองแดงสีเขียวเทอร์คอยส์ ห่มผ้าครุยกรอมเท้า
ที่ศรีษะสวมมงกุฏเป็นรัศมีเจ็ดแฉก มือขวาถือโคมไฟชูสูงขึ้นสุดแขน
มือซ้ายประคองหนังสือที่ปกเขียนว่า "4 กรกฏาคม 1776"
อันเป็นวันประกาศอิสรภาพของอเมริกา ไม่ขึ้นต่ออังกฤษอีกต่อไปและถือเป็นวันชาติอเมริกันมาจนทุกวันนี้
เทพีเสรีภาพนี้ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ขนาดเนื้อทราว ๆ 30 ไร่ ทำทางเดินขนาดใหญ่เข้าสู่ทางด้านหลังของอนุสาวรีย์
แล้วมีทางเดินรอบเลาะริมน้ำให้ชมได้ทุกมุมนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ถึง มงกุฏ
หรือ ขึ้นถึงแค่ฐานสี่เหลี่ยมต่ำกว่าเท้าขององค์อนุสาวรีย์
น้ำตกไนแองการ่า
เป็นน้ำตกขนาดใหญ่หลายแห่งประกอบกัน ตั้งอยู่บนแม่น้ำไนแอการาทางตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ
บนพรมแดนระหว่างประเทศแคนาดากับสหรัฐอเมริกา น้ำตกไนแอการาประกอบด้วยน้ำตกสามแห่งที่แยกออกจากกัน
คือ น้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Falls บางครั้งก็เรียก
น้ำตกแคนาดา) สูง 158 ฟุต, น้ำตกอเมริกาสูง
167 ฟุต, และน้ำตกขนาดเล็กกว่าที่อยู่ติดกัน
คือน้ำตก Bridal Veil. แม้น้ำตกไนแอการาจะไม่สูงอย่างโดดเด่น
แต่ก็กว้างมาก
น้ำตกไนแอการา อยู่บริเวณทะเลสาบทั้ง 5
ระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา และ ประเทศแคนาดามีน้ำตกไนแองการ่าแหล่งท่องเที่ยวที่ลือลั่นสนั่นโลกสถานที่
แห่งนี้ไม่เคยที่จะร้างห่างลาผู้คน ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนึ่งฤดูใดก็ตาม น้ำตกไนแองการ่าที่ไหลลงสู่ทะเลสาบออนตาริโอ
เป็นผืนน้ำขนาดใหญ่ที่ดูเป็นแอ่งนิ่งและสงบอยู่ในแผ่นดินทางสหรัฐอเมริกา แต่ถัดมาที่มีลักษณะเป็นรูปเกือกม้าขนาดใหญ่กลับเป็นภาพของ
กระแสน้ำที่หลั่งทะลักลงจากหน้าผาสูงเป็นแนวกว้าง กระโจนลงสู่พื้นเบื้องล่าง
และเพราะแรงกระทบที่ตกลงไป ส่งผลให้เกิดละอองกระเซ็นสาดไปทั่วบริเวณ เมื่อกระทบกับแสงแดดที่สาดเข้าใส่ละอองเหล่านั้นจะปรากฏเป็นภาพของรุ้งกิน
น้ำ ประดับบริเวณน้ำตกอยู่ตลอเวลา ส่วนความมหึมาของน้ำตกตรงจุดนี้เขาเรียกกันว่า
"แคนาเดี่ยนฟอลส์" ส่วนบริเวณชั้นของน้ำตกส่วนล่างลงมา
ซึ่งก็เป็นบริเวณที่เป็นชั้นน้ำตก ตกลงไปกระทบพื้นล่าง
เป็นระดับแนวยาวขนานกันกับชั้นบนมามีชื่อเรียกว่า "อเมริกัน
ฟอลส์"
น้ำตกไนแองการามีจุดชมวิวที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของทั้ง
2 ประเทศมานานกว่าศตวรรษ แม่น้ำไนแอการาไหลมาจากทะเลสาบอีรีไหลผ่านน้ำตกไนแอการาลงสู่ทะเลสาบออนตาริ
โอ เมืองสองฝั่งของน้ำตกในสองประเทศนั้นเป็นเมืองแฝด โดยในฝั่งแคนาดาคือ ไนแอการาฟอลส์
ออนตาริโอ ส่วนในฝั่งสหรัฐอเมริกาคือ ไนแอการาฟอลส์ มลรัฐนิวยอร์ก
วอลล์สตรีท หรือ ถนนวอลล์ (อังกฤษ: Wall
Street)
เป็นชื่อของถนนในเกาะแมนฮัตตัน วิ่งจากทิศตะวันออกจากถนนบรอดเวย์ไปถึงแม่น้ำฮัดสัน
ถนนเส้นนี้เป็นถนนเก่าแก่เส้นหนึ่งของเมือง ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งหนึ่ง และตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเริ่มต้นตั้งอยู่บนถนนสายนี้คำ
ว่า วอลล์สตรีท มักจะใช้ในความหมายที่หมายถึง ตลาดหลักทรัพย์ ถึงแม้ว่าบริษัทหลักทรัพย์ต่าง
ๆ ในนครนิวยอร์กไม่ได้ตั้งอยู่บนถนนวอลล์สตรีทเหมือนในอดีต โดย เจพีมอร์แกน เชส (JPMorgan
Chase)บริษัทหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาย้ายสำนักงานใหญ่ออกจากบริเวณ
นี้เมื่อ พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001)บริเวณวอลล์สตรีทจะมีรูปปั้น กระทิง (bull) ตั้งอยู่
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึง เศรษฐกิจดี ส่วนหมี (bear) จะหมายถึงเศรษฐกิจไม่ดี
รัฐแอริโซนา
แกรนด์แคนยอน (อังกฤษ: Grand
Canyon)
เป็นดินแดนหินผาและหุบเหว
ซึ่งหน้าผามีความสูงถึง 1600 เมตร และหุบเหวสูงถึง 450 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในรัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีนักท่องเที่ยวนับแสนๆคนในแต่ละปี
และผู้ค้นพบคือพันตรีจอร์น เวสลีย์ เพาเวลล์และคณะเมื่อปี ค.ศ. 1869
เดอะเวฟ (The
Wave) ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
"เดอะเวฟ" คือ
ภูเขาหินทรายที่ฟอร์มตัวในลักษณะคล้ายคลื่นลาดชัน เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 190 ล้านปีก่อนหรือในยุคจูราสสิก เนื่อง จากพื้นที่แถบนี้มีความเปราะบางมาก
ทางการจึงจำกัดให้เข้าชมได้เพียงวันละไม่เกิน 20 คน และต้องเดินเท้าเข้าไปเกือบ
5 ก.ม. จึงจะถึงดินแดนมหัศจรรย์แห่ง
รัฐวอชิงตัน
หอศิลป์แห่งชาติ (ภาษาอังกฤษ: National Gallery of Art) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติที่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1938 โดยรัฐสภาคองเกรส พร้อมกับกองทุนสำหรับสิ่งก่อสร้างและงานศิลปะจำนวนพอสมควรที่อุทิศโดย
แอนดรู ดับเบิลยู เมลลอน (Andrew W. Mellon) และงานศิลปะที่อุทิศโดย
เลสซิง เจ โรเซ็นวอลด์ (Lessing J. Rosenwald), ศิลปะอิตาลีจากแซมูเอล
เฮนรี เครสส์ (Samuel Henry Kress), ประติมากรรมและจิตรกรรมอีกมากกว่า
2,000 ชิ้น, และงานพอร์ซิเลนจากโจเซฟ
อี ไวด์เนอร์ (Joseph E. Widener) การอุทิศงานศิลปะเช่นนี้ทำให้หอศิลป์แห่งชาติ
(วอชิงตัน ดี.ซี.) เป็นหอศิลป์ที่เป็นเจ้าของงานศิลปะที่ดีที่สุดที่หนึ่งในโลก
รัฐฟลอริด้า
วอลท์ ดิสนีย์ เวิลด์ (Walt
Disney World)
ตั้ง อยู่ในรัฐฟลอริด้าในประเทศสหรัฐอเมริกาวอลท์ ดิสนีย์
เวิลด์ ที่ ออร์ลันโด รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็น สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีพื้นที่ถึง 30,000 เอเคอร์ ใช้งบประมาณพัฒนาถึง 400
ล้านดอลลาร์ ได้ต้อนรับคนรักสนุกครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1971 เวลาเปิดปิดสวนสนุก ชึ้นกับฤดูกาล
เมื่อเข้าไปข้างในจะพบ ปราสาทเทพนิยายที่ตั้ง เด่นเป็นสัญลักษณ์ ดินแดนต่างๆแต่สวนสนุกที่ที่มีคนไปมากที่สุดในโลก
คือ โตเกียวดิสนีย์แลนด์ ด้วยสถิตินักท่องเที่ยวมากถึง 17.80ล้าน
คนต่อปี มีพื้นที่เพียง 114.2 เอเคอร์เท่านั้น
แหลมคานาเวอรัล (Cape
Canaveral)
เป็นแหลม ที่อยู่ในมลรัฐฟลอริดา
ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้านชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่ตั้งของศูนย์อวกาศเคนเนดี
และยานอวกาศส่วนใหญ่ของสหรัฐถูกส่งขึ้นจากฐานส่งจรวดที่นี่ในช่วงปี พ.ศ. 2506 ถึง 2519 (ค.ศ. 1963-1976) แหลมคานาเวอรัลถูกเรียกว่า
แหลมเคนเนดี (Cape Kennedy) เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดี
จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) ที่สนับสนุนด้านอวกาศของสหรัฐเป็นอย่างมาก
โดยเมื่อประธานาธิบดีเคนเนดีเสียชีวิตจากการถูกลอบสังหารในปี พศ.2506ภรรยาม่ายของเขาคือ นางแจกเกอลีน เคนเนดี (Jacqueline Kennedy) ได้เสนอให้ประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน เปลี่ยนชื่อศูนย์อวกาศแหลมคานาเวอรัลเสียใหม่
ซึ่งประธานธิบดีจอห์นสันตัดสินใจเปลี่ยนชื่อทั้งศูนย์อวกาศและแหลมด้วย อย่างไรก็ตามได้มีการเปลี่ยนชื่อกลับคืนใน
ค.ศ. 1976 หลังจากมีกฎหมายคืนชื่อดั้งเดิมของรัฐฟลอริดาออกมา
รัฐเคนทักกี
อุทยานแห่งชาติถ้ำแมมม็อธ (Mammoth
Cave National Park)
ตั้งอยู่ในรัฐเคนทักกี ประเทศสหรัฐอเมริกา
ห่างจากเมืองลุยส์วิลล์ประมาณ 144 กิโลเมตร
ภายในอุทยานแห่งชาติ เป็นกลุ่มถ้ำที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งภายในมีความยาวประมาณ 530
กิโลเมตร ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2340 (ค.ศ. 1797)
ซึ่งภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงามรวมทั้งยังมีแม่น้ำเอโคซึ่งอยู่ลึกลง
ไป 110 เมตร เป็นที่อยู่ของปลาและกุ้งอีกหลายชนิด ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นสัตว์ตาบอดและไม่มีสีเนื่องจากอยู่ภายในถ้ำมืดมาอย่างยาวนาน
สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ
ทะเลทรายแบล็คร็อค (Black
Rock Desert) ที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
ทะเลทรายแบล็คร็อค คือ ก้นทะเลสาบที่แห้งสนิท ครั้งหนึ่งดินแดนแถบนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบในยุคก่อนประวัติศาสตร์
ที่มีชื่อว่า "Lahontan" ซึ่งปรากฏอยู่ในสมัย 18,000-7,000
พันปีก่อนคริสตกาล ในช่วงที่ทะเลสาบโบราณแห่งนี้มีระดับน้ำสูงสุด
(เมื่อประมาณ 12,700 ปีก่อน) ทะเลทรายแบล็คร็อคเคยอยู่ใต้น้ำที่มีความลึกถึง
150 เมตรเลยทีเดียว
ภูเขาไฟ Redoubt
ที่รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา
Redoubt เป็นภูเขาไฟมีพลัง (active
volcano) อายุนับพันๆ ปี ที่ยังคงคุกรุ่นและเกิดการปะทุหรือระเบิดขึ้นบ่อยครั้ง
โดยครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา
เปอร์โตริโก (Puerto
Rico)
หรือชื่อเต็มคือ เครือรัฐเปอร์โตริโก (Commonwealth
of Puerto Rico) (สเปน: Estado Libre Asociado de Puerto
Rico ออกเสียง [es'tado 'libɾe
asosi'ado de 'pweɾto
'riko]) เป็นเครือรัฐของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสาธารณรัฐโดมินิกันในภูมิภาคแคริบเบียนตะวันออก
เฉียงเหนือ เปอร์โตริโกเป็นดินแดนที่เล็กที่สุดของหมู่เกาะแอนทิลลิสใหญ่ มีพื้นที่รวมเกาะเปอร์โตริโก
เกาะเล็ก ๆ จำนวนหนึ่ง รวมทั้งกลุ่มเกาะ ได้แก่ โมนา เบียเกส และกูเลบรา
จากประวัติศาสตร์การค้นพบอันยิ่งใหญ่ของ คริสโตเฟอร์
โคลัมบัส ทำให้ประเทศเปอร์โตริโก ถูกจารึกว่ามีอยู่จริงในโลก คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
(Christopher Columbus) ผู้เห็นดินแดนอันเป็น ประเทศเปอร์โตริโก (Puerto
Rico)เป็นครั้งแรก ในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.
2036 (ค.ศ. 1493) หรือราว 516 ปี ที่ผ่านมา
เทศบาลแห่งแรก เดิมเรียกว่า "เมือง"
คือเทศบาลซานฮวน จัดตั้งขึ้นในปี 1521
ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก็ได้ตั้งเทศบาลใหม่ขึ้น
ได้แก่ โกอาโม ปี ค.ศ. 1570 และซันเฮร์มัง ปี ค.ศ.1570
จากนั้นเทศบาลอีก 3 แห่งก็ได้รับการจัดตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่
17 ได้แก่ อาเรซีโบ ปี ค.ศ. 1614 อากวาดา
ปี ค.ศ.1692 และปอนเซ ปี ค.ศ.1692 เทศบาลแห่งใหม่ที่สุดคือ
โฟลรีดา จัดตั้งขึ้นในปี 1971
เปอร์โตริโกไม่มีหน่วยการปกครองลำดับแรกที่กำหนดโดยรัฐบาลสหรัฐฯ
แต่มี เทศบาล (municipalities) 78 แห่งเป็นหน่วยการปกครองลำดับรอง
(เกาะโมนาไม่มีฐานะเป็นเทศบาล แต่เป็นส่วนหนึ่งของเทศบาลมายาเกวซ) เทศบาลของเปอร์โตริโกแบ่งย่อยออกเป็น
เขต (barrios) และ แขวง (sectors) แต่ละแห่งมีนายกเทศมนตรีและสภาเทศบาลซึ่งมีการเลือกตั้งใหม่ทุก
ๆ 4 ปี
การตั้งถิ่นฐานในเปอร์โตริโกขยายตัวเพิ่มขึ้นในอีก
2 ศตวรรษถัดมา โดยเกิดเทศบาลขึ้นใหม่ 30
แห่งในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และอีก 34 แห่งแห่งเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีเทศบาลเพียง
6 แห่งที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเทศบาลแห่งใหม่ที่สุดคือ โฟลรีดา จัดตั้งขึ้นในปี 1971